tr?id=1543387775907290&ev=PageView&noscript=1

ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

  • icn_TW.png
  • icn_Gp.png

ปฏิทินกิจกรรม

①เทศกาลโอมิซุโทริ วัดโทไดจิ นิกัตสึโด (นารา)
②เทศกาลฮิโรซากิซากุระ มัตสึริ (อาโอโมริ)
③เทศกาลซันจะ มัตสึริ (โตเกียว)
④เทศกาลอาโออิ มัตสึริ (เกียวโต)
⑤เทศกาลกิอง มัตสึริ (เกียวโต)
⑥เทศกาลงานดอกไม้ไฟสุมิดะกาว่า (โตเกียว)
⑦เทศกาลฮากาตะยามะคาสะ (ฟุกุโอกะ)
⑧เทศกาลอาโอโมริ เนบุตะ (อาโอโมริ)
⑨เทศกาลคันโต มัตสึริ (อาคิตะ)
⑩เทศกาลอาวะโอโดริ (โทคุชิมะ)
⑪เทศกาลเกียวโตโกะซัน โอคุริบิ (เกียวโต)
⑫เทศกาลโอวาระคาเซะโนะบ้ง (โทยาม่า)
⑬เทศกาลดันจิริ มัตสึริ (โอซาก้า)
⑭เทศกาลฮากาตะ โอคุนจิ (ฟุกุโอกะ)
⑮เทศกาลจิจิบุโยะ มัตสึริ (ไซตามะ)

ประเทศญี่ปุ่นมีความพิเศษในแต่ละฤดูกาล เช่น เราสามารถเพลิดเพลินกับดอกไม้, ผลไม้ หรือ อาหารประจำฤดูกาลนั้นๆ อีกทั้งยังมีงานเทศกาลต่างๆ มากมาย ดังนั้นถ้าเราเตรียมหาข้อมูลต่างๆไว้ล่วงหน้า จะช่วยการวางแผนการท่องเที่ยวให้สนุกและง่ายขึ้นมาก

 

อุณหภูมิ และฤดูกาล

◆ฤดูหนาว
ในเดือนมกราคาและกุมภาพันธ์ อุณหภูมิจะลดต่ำลง  ควรเตรียมเสื้อโค้ท, ผ้าพันคอ และถุงมือให้พร้อม ส่วนภายในร้านค้าจะค่อนข้างอุ่น จึงควรระวังความแตกต่างของอุณหภูมิด้วย บริเวณที่เป็นภูเขาในพื้นที่อย่างฮอกไกโด, โทโฮคุ และฝั่งทะเลญี่ปุ่น จะมีปริมาณหิมะตกสูง ทำให้หนาวเย็นมาก

◆ฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อเข้าเดือนมีนาคม อุณหภูมิจะอุ่นขึ้น แต่ยังมีความแปรปรวนคือ ช่วงกลางวันอาจจะอบอุ่น แต่ช่วงเช้าและเย็นจะยังคงหนาว จึงควรเตรียมเสื้อโค้ทบางหรือแจ็กเก็ตไว้

ฤดูร้อน
เมื่อเข้าเดือนมิถุนายน ญี่ปุ่นจะเริ่มมีฝนตก จึงควรเตรียมร่มหรือเสื้อกันฝนไว้ เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่มีความชื้นสูงมาก ช่วงนี้สามารถใส่เสื้อแขนสั้นได้ แต่มีเสื้อแจ็กเก็ตเผื่อไว้จะสะดวกกว่า หลังฝนตก จะมีแดดออก อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นมีแดดค่อนข้างแรง ควรเตรียมหมวกมาด้วย

ฤดูใบไม้ร่วง
ช่วงเดือนกันยายน ญี่ปุ่นจะมีพายุไต้ฝุ่นค่อนข้างมาก ควรเช็คพยากรณ์อากาศให้ดี และอุณหภูมิจะลดตัวต่ำลง ควรเตรียมเสื้อแขนยาว และคาร์ดิแกนมาด้วย เมื่อเข้าเดือนพฤศจิกายน อากาศจะเริ่มหนาว ควรเตรียมเสื้อโค้ทหรือแจ็กเก็ตให้พร้อม


 

ตารางขนาดเสื้อผ้า




 

จัดทำขึ้นจากความสูงเฉลี่ยของผู้ชายญี่ปุ่น 170 ซม. สำหรับเสื้อผ้าผู้ชาย และความสูงเฉลี่ยของผู้หญิงญี่ปุ่น 158 ซม. สำหรับเสื้อผ้าผู้หญิง

ตารางขนาดรองเท้า

ขนาดรองเท้าอาจแตกต่างกัน โดยขึ้นกับประเทศที่ผลิต, บริษัทผู้ผลิต, ชนิด, และดีไซน์ ขอให้ลองสวมก่อนซื้อทุกครั้ง

 

สัมภาระ

ควรฝากสัมภาระขนาดใหญ่ที่เป็นภาระเวลาเดินทาง เพื่อให้ท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย
 

จุดฝากสัมภาระ

ขอแนะนำให้ฝากสัมภาระไว้ตามจุดฝากสัมภาระที่สถานีรถไฟหรือสถานที่ท่องเที่ยว  ทั้งนี้แต่ละที่จะมีเวลาให้บริการ, ค่าบริการ, จำนวน และขนาดสัมภาระที่รับฝากต่างกันออกไป ควรตรวจสอบให้ดี
 

เคาน์เตอร์ "ท่องเที่ยวมือเปล่า" (Hands-Free Travel)

เคาน์เตอร์ที่มีสัญลักษณ์ "ท่องเที่ยวมือเปล่า" (Hands-Free Travel) จะมีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้ คอยให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการฝากสัมภาระใน 1 วัน และในบางแห่งเปิดบริการส่งสัมภาระไปยังโรงแรม, สถานี หรือ จุดหมายต่อไปของคุณด้วย

ล็อกเกอร์แบบหยอดเหรียญ

ถ้าคุณต้องการฝากสัมภาระ เราขอแนะนำให้ใช้ล็อคเกอร์แบบหยอดเหรียญที่มีอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีรถไฟ แต่ทั้งนี้ อาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับขนาดของสัมภาระ ทำให้ไม่สามารถใส่สัมภาระลงในล็อคเกอร์ได้ หรือ สถานที่บางแห่งอาจปิดตอนกลางคืน หรือ มีช่วงเวลาเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติมไม่เท่ากัน ถ้าเป็นล็อคเกอร์ตามสถานี มักจะให้บริการตั้งแต่รถไฟเริ่มวิ่งจนขบวนสุดท้ายของวัน ส่วนค่าบริการในการใช้ล็อคเกอร์นั้น อยู่ประมาณ 300 - 600 เยน วิธีใช้งานโดยทั่วไปคือ หยอดเหรียญ ล็อกตู้ แล้วดึงกุญแจออกมา ถ้าเป็นล็อคเกอร์แบบชำระเงินด้วยไอซีการ์ดได้ คุณจะได้รับใบเสร็จที่มีรหัสสำหรับเปิดตู้ จึงต้องระวังอย่าทำใบเสร็จหาย ทั้งนี้บนกุญแจ ล็อกเกอร์จะมีการระบุที่ตั้งและหมายเลขของล็อคเกอร์นั้นๆเอาไว้ด้วย
 

วิธีใช้ล็อคเกอร์แบบหยอดเหรียญ และ IC Card (มีล็อคเกอร์แบบหยอดเหรียญที่สามารถชำระเงินด้วย IC Card อย่าง Suica, Pasmo ฯลฯ อยู่ด้วย)

①ฝากสัมภาระ
เลือกภาษาบนหน้าจอ แล้วเลือก "ใส่สัมภาระ"
คุณสามารถใช้ IC Card ได้ที่ตู้ล็อคเกอร์ที่มีหน้าจอ และเครื่องอ่าน IC Card

②ดูว่ามีล็อคเกอร์ว่างหรือไม่
ตู้ที่ไฟสว่างคือตู้ที่มีสัมภาระอยู่ข้างใน ขอให้หาล็อคเกอร์ที่ไม่มีแสงไฟ
 

③ใส่สัมภาระลงในล็อคเกอร์
ปิดประตูล็อคเกอร์ แล้วกดคันโยกลงจนได้ยินเสียง "กริ๊ก"

④ดูที่หน้าจอ
เมื่อปิดประตู จะมีไฟสีชมพูสว่างขึ้นที่ตำแหน่งล็อคเกอร์ของคุณ เมื่อตรวจสอบความถูกต้องแล้วกดปุ่ม "ตกลง" ที่มุมขวาล่าง
 

⑤เลือกวิธีชำระเงิน
ชำระค่าบริการเป็นเงินสด หรือ IC Card 

⑥ชำระเงิน
โดยจะมีจำนวนเงินแสดงที่หน้าจอ ถ้าคุณใช้ IC Card สามารถชำระเงินได้โดยนำบัตรไปแตะที่เครื่องอ่านบัตรได้เลย 

⑦รับใบเสร็จ
หลังจากนั้นเครื่องจะพิมพ์ใบเสร็จรับเงินที่ระบุตำแหน่ง และรหัสของล็อคเกอร์ออกมา อย่าลืมรับใบเสร็จ และอย่าทำหาย เพราะต้องใช้ตอนนำสัมภาระออกจากล็อคเกอร์

นำสัมภาระออกจากล็อคเกอร์

เลือกภาษาบนหน้าจอ แล้วเลือกเมนูทางขวามือ "นำสัมภาระออกจากล็อคเกอร์"
 

ถ้าคุณใช้ IC Card ให้เอาการ์ดแตะที่เครื่องอ่านบัตรได้เลย 

 ถ้าคุณใช้เงินสด ให้ใส่รหัส

ประตูจะเปิดให้คุณนำสัมภาระออกมาได้

คำแนะนำ

ควรเตรียมกระเป๋าสะพายเพื่อใส่สิ่งของมีค่าติดตัว เช่น กระเป๋าสตางค์, กระเป๋าใส่เหรียญ, มือถือ, กล้อง,พาสปอร์ต (แนะนำให้ทำสำเนสพาสปอร์ตมาและแยกเก็บไว้ที่กระเป๋าเดินทาง),ยาประจำตัว,แผนท่องเที่ยว, แผนที่รถไฟ,นามบัตรโรงแรม, น้ำดื่ม, ปากกา และสมุดโน้ตเล่มเล็ก (สำหรับจดบันทึก หรือ ยื่นให้คนญี่ปุ่นเขียนอธิบายเวลาสื่อสารกันไม่เข้าใจ)เป็นต้น
 



 

ราคาทั่วไปในญี่ปุ่น

น้ำน้ำขนาด 500 มล. มีจำหน่ายที่ตู้จำหน่ายอัตโนมัติ หรือ ร้านสะดวกซื้อ ราคาประมาณ 120 เยน
 

กาแฟกาแฟแบบดริป ขนาดปกติ ราคาประมาณ 350 เยน
 

เบียร์เบียร์กระป๋องจะมี 2 ชนิดคือ เบียร์ และฮัปโปชุ (เบียร์ที่มีส่วนผสมของมอลต์น้อย) ขนาด 350 มล. ราคาประมาณ 110 - 350 เยน
 

รถไฟใต้ดินราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 200 เยน ถ้าเป็นรถไฟใต้ดินโตเกียว Tokyo Metro ราคาจะเริ่มจาก 170 เยน, รถไฟใต้ตินเกียวโต เริ่มที่ 210 เยน, รถไฟใต้ดินโอซาก้า เริ่มต้นที่ 180 เยน 

แท็กซี่ราคาเริ่มต้นจะต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ หรือ บริษัทผู้ให้บริการ ในพื้นที่ 23 เขตพิเศษของโตเกียว รถแท็กซี่ขนาดกลางมีราคาเริ่มต้นที่ 730 เยน ในระยะทางวิ่งไม่เกิน 2 กม., ในเกียวโต ราคาเริ่มต้นประมาณ 600 เยน ในระยะทางวิ่งไม่เกิน 1.7 กม., ในโอซาก้า ราคาเริ่มต้น 680 เยน ในระยะทางวิ่งไม่เกิน 2 กม.
 

บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อ 11/11/2016